บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

หนูระลึกชาติได้



เรื่องคนระลึกชาติได้ในประเทศไทยของเรานี่มีมากมายมหาศาล เดี๋ยวนี้มีการพิมพ์หนังสือออกมาขายด้วย  แต่ในเมื่อเราใช้เรื่องดังกล่าวเป็นหลักฐานไม่ได้  เราก็ต้องใช้การระลึกชาติของนักวิทยาศาสตร์มาเป็นหลักฐาน

ดร. เอียน สตีเวนสันเป็นหัวหน้าแผนกจิตเวชศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว  ขอย้ำก่อนว่า ดร. เอียนเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่บุคคลในแวดวงศาสนา

ดร. เอียน สตีเวนสัน เริ่มค้นคว้าเรื่องความเป็นไปได้ในการกลับชาติมาเกิด ตั้งแต่ปี 1960 ขณะที่เขาได้ฟังกรณีหนึ่งในศรีลังกา ซึ่งเด็กคนหนึ่งอ้างว่า เขาจำชาติก่อนของเขาได้

เขาสอบถามอย่างละเอียดทั้งเด็ก และพ่อแม่เด็ก ในชาติปัจจุบัน และพ่อแม่เด็กที่อ้างถึงเมื่อชาติก่อนด้วย เรื่องดังกล่าว ทำให้ ดร. เอียน สตีเวนสัน เริ่มมั่นใจว่า เรื่องการกลับชาติมาเกิดมีความเป็นไปได้ว่า เป็นเรื่องจริง

ต่อจากนั้นมา ดร. เอียน สตีเวนสัน ได้อุทิศตนเพื่อศึกษา "ความทรงจำจากชาติก่อน" ของเด็กๆ ทั่วโลก มากกว่า 3000 กรณีศึกษา 

ในกรณีถือว่าเป็นงานวิจัยที่มีกลุ่มตัวอย่างมาก มากจนเชื่อถือได้แบบไม่ต้องสงสัยอะไรเลย

ดร. เอียน สตีเวนสัน มีผลงานเป็นจำนวนจริงๆ  สนใจก็อ่านได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Ian_Stevenson

ณ ที่นี่ผมขอเน้นที่ผลการค้นคว้าของ ดร. เอียน สตีเวนสัน ที่ว่า

กรณีที่พบบ่อยที่สุด คือการที่เด็ก จำเรื่องของชาติที่แล้วได้ โดยปกติเด็กจะเริ่มเล่าเรื่องเมื่ออายุ 2-4 ขวบ และจะเริ่มลืมเลือนไปช้าๆ เมื่ออายุ 4-7 ขวบ แต่ก็มีข้อยกเว้น เด็กบางคนยังจำได้ดี แต่ไม่พูดออกมาเนื่องจากเหตุผลบางประการ

เด็กเหล่านี้คิดว่าพ่อแม่เมื่อชาติก่อนเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของตน แทนที่จะเป็นพ่อแม่คนปัจจุบัน และต้องการกลับไปหาพ่อแม่เดิมเมื่อชาติก่อนอีกด้วย

เมื่อพ่อแม่เมื่อชาติก่อนถูกหาจนพบ จากรายละเอียดจากความทรงจำเก่าจนมาพบตัวจริง พฤติกรรมที่ผิดไปของเด็กก็สังเกตให้เห็นได้อย่างชัดเจน

นี่คือสิ่งที่เราจะถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์กัน  แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น ผมขอนำเสนอข้อมูลที่น่าตกใจสำหรับขุนศึกทรยศบางคน ที่มีชื่อเสียงมาก

คือ ขุนศึกทรยศท่านนี้ เป็นพระที่เชื่อวิทยาศาสตร์แบบนิวตันที่ขัดแย้งกับศาสนาพุทธ แต่ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์แบบ ดร. เอียน สตีเวนสัน ที่สอดคล้องกับศาสนาพุทธ

ขุนศึกทรยศท่านนี้ เอ่ยชื่อนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไว้ในหนังสือของท่าน ดังนี้

1) Ian Stevenson, Twenty Cases Suggestive of Reincarnation (New York, 1966) passim
2)  A.R. Martin, Researches in Reincarnation and Beyond (Pennsylvania, 1942) passim
3) C.J. Ducasse, A Critical Examination of the Belief in A Life After Death (Springfield, Illinois, 1961) passim

แล้วท่านก็เขียนข้อความไว้ ดังนี้

คำที่กล่าวว่า ถ้าพิสูจน์ให้คนทั่วไปเห็นได้ว่าตายแล้วเกิด ชาติหน้ามีจริง กรรมตามไปไกลให้ผลจริง จนคนทั้งหลายยอมเชื่อเช่นนั้นแล้ว การสอนศีลธรรมจะได้ผล คนจะกลัวบาป ยอมเว้นชั่ว และทำดีกันทั่วไป นับว่ามีเหตุผลอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าคนเชื่อเช่นนั้นจริง ผลในทางปฏิบัติ ก็น่าจะเกิดขึ้นเช่นนั้นเป็นอย่างมาก

ท่านผู้กล่าวเช่นนี้ก็นับว่าเป็นผู้ตั้งใจดีและมีเหตุผลเป็นพื้นฐาน จึงไม่น่าจะมีข้อขัดข้องที่จะปล่อยให้ท่านเหล่านั้นดำเนินการศึกษาสอบสวนค้นคว้าของท่านไป โดยคนอื่นๆ พลอยยินดีและสนับสนุนเท่าที่อยู่ในขอบเขตแห่งเหตุผลตามสมควร

ขุนศึกทรยศท่านนี้ เห็นว่า นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อให้คนทำความดี นี่มันบ้าแล้ว นักวิทยาศาสตร์เขาศึกษาเพื่อความจริง  แล้วท่านก็ไม่เชื่อนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ แต่ไปเชื่อนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์

นี่มันมารชัดๆ

กลับมาถึงเรื่องที่ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง  ผมมีหลักฐาน 2 ประการคือ

1) หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล ปอปเปอร์ 

หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล ปอปเปอร์ เป็นเรื่องที่ศึกษาในสาขาวิชาปรัชญาวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีหลักการอยู่ว่า

ถ้ามีใครเสนอทฤษฎีใดๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่า ทฤษฎีนั้นผิด ก็ต้องยอมรับไว้ก่อนว่า ทฤษฎีนั้นๆ เป็นความจริง

ยกตัวเรื่องแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ที่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าผิดนั้น เพราะ คำนวณวงโคจรของดาวพุธ ผิดไป 17 วัน  นี่คือ การพิสูจน์ผิด

ดังนั้น ถ้าจะว่าอะไรผิดหรือไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ก็ต้องบอกได้ว่า “มันผิดอย่างไร” ถ้าบอกว่าผิดไม่ได้ ก็ต้องฟังหูไว้หูก่อน คือ อย่าไปฟันธงว่าสิ่งนั้นผิด

เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่มีใครบอกได้มาก่อนว่า ผิดอย่างไร

2) หลักการของความน่าจะเป็น (Probability)

ความน่าจะเป็น (Probability) เป็นพื้นฐานสำคัญของหลักวิชาสถิติ และก็เป็นหลักสำคัญของการทำวิจัยเชิงสำรวจ  เพราะ นักวิจัยไม่สามารถจะไปเก็บข้อมูลกับประชากรทั้งหมดได้ ต้องสุ่มเก็บข้อมูลจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ากลุ่มตัวอย่าง

นอกจากนั้นแล้ว กลศาสตร์ควอนตัมก็ใช้หลักของความน่าจะเป็นนี้ เป็นเรื่องหลักในการพัฒนาทฤษฎี  ความน่าจะเป็นจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้

กลับมาถึงเรื่องเด็กระลึกชาติได้  เด็กพวกนี้จะอายุประมาณ 2-4 ขวบ เมื่อระลึกชาติได้แล้วก็มักจะบอกให้พ่อแม่ชาตินี้ พาไปบ้านเดิม

บางคนก็ไปพบพ่อแม่ชาติที่แล้ว พบลูก ฯลฯ ก็จำได้ ทั้งยังบอกได้อีกว่า สิ่งของ บ้านช่องมีลักษณะเป็นอย่างไรอยูที่ไหน

ผมถามจริงๆ ว่า เด็กอายุประมาณ 2-4 ขวบ ถ้าไม่รู้จริง เพราะ ชาติที่แล้วเป็นคนๆ นั้น จะบอกได้หรือ 

สมมุติว่า เราต้องการจะหลอกคนอื่น โดยจะจ้างเด็กอายุ 2-4 ขวบให้ไปทำเรื่องอย่างนั้น  เด็กอายุ 2-4 ขวบจะทำได้หรือ

ด้วยหลักการของวิทยาศาสตร์เอง ก็ยืนยันได้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ในเมื่อการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง  นรกสวรรค์ก็ควรมีจริงไปด้วย





อนันตจักรวาล-อนันตภพ




คำว่า “universe” ในภาษาอังกฤษนั้น นักวิชาการแปลกันว่า “เอกภพ” หมายถึงว่า “verse” หรือภพ มี “uni” คือ 1 เดียว  คำว่า “ภพ” นี้ ในทางศาสนาพุทธ เราหมายถึง “จักรวาล”

ศัพท์ในทางวิชาการมีอีก 1 คำคือ “Solar System” ที่ควรแปลว่า “ระบบสุริยะ” เฉยๆ แต่ส่วนใหญ่คนไทยแปลกันว่า “ระบบสุริยะจักรวาล”

ดังนั้น ในบทความนี้ ถ้ากล่าวถึงจักรวาลก็หมายถึง “universe” ไม่ใช่ “Solar System

จักรวาลที่เราอยู่กันนี้ มี 4 ทวีป คือ ชมพูทวีป ปุพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป และ อมรโคยานทวีป ทวีปทั้ง 4 ดังกล่าวมีมนุษย์ไปเกิดทั้งสิ้น ที่แตกต่างก็คือ พระพุทธเจ้าจะมีเฉพาะชมพูทวีปเท่านั้น อีก 3 ทวีปไม่มี

ชมพูทวีปนั้น ขุนศึกทรยศหลายท่าน เข้าใจผิดไปว่า คือ ประเทศอินเดีย  แล้วก็พยายามเปรียบเทียบหาอีก 3 ทวีปในโลกนี้ แต่ก็หาไม่ได้  จึงหาว่า เรื่องจักรวาลทัศน์ของเราเป็นเรื่องไม่จริง

จริงๆ แล้ว จักรวาลที่เราอยู่ทั้งหมดนี้ คือ ชมพูทวีป ไม่ใช่อินเดีย 

ตามภาพด้านบนนั้น คือ แสดงภาพจักรวาลของเราเพียงจักรวาลเดียว แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จักรวาลนั้น มีอีกมากมายมหาศาล แบบไม่ต้องนับกัน จึงเรียกกว่า “อนันตจักรวาล”

จักรวาลนั้น เมื่อมาอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่มจักรวาล เราก็เรียกว่า “โลกธาตุ”  โลกธาตุหนึ่งอาจจะมีจักรวาลเดียว หรือมีจนนับไม่ถ้วนก็ได้

โลกธาตุมีเล็ก มีใหญ่ และโลกธาตุก็มีจนนับไม่ถ้วนอีก

ประเด็นเรื่องอนันตจักรวาลนี้ก็เช่นเดียวกัน วิทยาศาสตร์ยุคนิวตัน ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง โดยกล่าวว่า ไม่มีเหตุผล เป็นนิทานหลอกเด็ก  จักรวาลมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ภาษาอังกฤษจึงใช้คำว่า “Universe

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทฤษฎีของฟิสิกส์ใหม่ที่ยังแก้ไม่ได้นั้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยุคไอน์สไตน์เชื่อว่า “ภพ” ไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว แต่มีมากมายมหาศาล จึงมีการตั้งศัพท์ใหม่ว่า พหุภพ (Multiverse)

ในบางทฤษฎีก็ว่ามี เอกภพคู่ขนาน (Parallel Universe) ซึ่งเป็นหนึ่งในพหุภพ แต่ละเอกภพนั้น ก็จะมีเราไปเกิดอยู่ทุกเอกภพ

มีผู้อำนวยการสร้างภาพยนต์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเรื่องพหุภพหรือจักรวาลคู่ขนานเอาไปสร้างหนังเรื่อง “The one

เนื้อหาหลักก็คือ ตัวเอกของเรื่องอยากจะดังคนเดียว จึงไปตามไปฆ่าตัวเองที่จักรวาลอื่นให้หมด จะได้เหลือเพียง “The one

เรื่องอนันตจักรวาล/อนันตภพนี้ก็เช่นเดียวกัน  วิทยาศาสตร์แบบนิวตันปฏิเสธแบบไม่มีเหตุผล ปฏิเสธเพราะ เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้

ในเมื่อฟิสิกส์ใหม่คิดค้นโดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เชื่อศาสนาพุทธ แล้วได้องค์ความรู้ที่สอดคล้องกัน  องค์ความรู้ของศาสนาพุทธก็ควรที่จะเป็นที่ยอมรับได้





เวลาของเราไม่เท่ากัน




สิ่งที่เป็นเรื่องเหลวไหลเป็นไปไม่ได้ในองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ของยุคนิวตันก็คือ เรื่องเวลาของมนุษย์กับ สวรรค์ นรก รูปพรหม อรูปพรหม

ตามหลักของวิทยาศาสตร์ของนิวตัวแล้ว เวลาไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ในจักรวาลนี้ต้องเท่ากัน  ไม่ว่าจะเป็นดาวพุธ ดาวเสาร์ โลก หรือทางช้างเผือกเวลาก็ต้องเท่ากัน เป็นกฎแน่นอนตายตัว

นั่นคือ เวลาของนิวตันนั้น ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล เป็นเวลาที่ต่างหากจากคน คนก็คน เวลาก็เวลา

ในไตรภูมิพระร่วงนั้น เปรียบเวลาของสวรรค์กับมนุษย์ไว้ ดังนี้

1 วันของสวรรค์ชั้น จาตุมมหาราชิกา = 50 ปีโลกมนุษย์
1 วันของสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์  = 100 ปีโลกมนุษย์
1 วันของสวรรค์ชั้น ยามา  = 200 ปีโลกมนุษย์
1 วันของสวรรค์ชั้น ดุสิต  = 400 ปีโลกมนุษย์
1 วันของสวรรค์ชั้น นิมมานรดี  = 800 ปีโลกมนุษย์
1 วันของสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี  = 1,600 ปีโลกมนุษย์

พูดให้เข้าใจง่ายๆ เข้าก็ว่า ถ้าเราตายไปแล้ว ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพียง 1 วัน แล้วหายมึน หายงงจากความสุขที่ได้รับ  หันมามองเพื่อน ญาติ ศัตรูในโลกมนุษย์ ปรากฏว่า พวกนั้นตายกันเรียบ

ในไตรภูมิพระร่วงนั้น เปรียบเวลาของนรกกับมนุษย์ไว้ ดังนี้

1 วันของสัญชีพนรก = 9 ล้านปีมนุษย์
1 วันของกาฬปุตตะนรก = 36 ล้านปีมนุษย์
1 วันของสังฆาฏนรก = 145 ล้านปีมนุษย์
1 วันของโรรุวนรก = 234 ล้านปีมนุษย์
1 วันของมหาโรรุวนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์
1 วันของตาปะมหานรก = 184,212 ล้านปีมนุษย์
1 วันของมหาตาปะมหานรก = ไม่มีข้อมูล
1 วันของอเวจีมหานรก = ไม่มีข้อมูล

สำหรับนรกนี้ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ญาติ เพื่อน ศัตรูของตัวเองเป็นอย่างไร เพราะ รับโทษทัณฑ์อยู่ ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น

เรื่องเวลานี้ ทำให้ขุนศึกทรยศของศาสนาพุทธ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ไม่เชื่อเรื่องปฏิบัติธรรม ไม่เคยปฏิบัติธรรม  รับไม่ได้เลย 

หาว่าเหลวไหล เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อหลอกให้คนทำความดี นักวิชาการบางท่าน คิดว่าพระยาลิไทยแต่งขึ้นมาใช้ประโยชน์ในทางการเมือง เพื่อควบคุมให้คนทำความดีเข้าไปอีก

พวกนี้ จะรู้ว่านรกมีจริงก็ตอนตายนั่นแหละ เพราะตกนรก

ประเด็นเรื่องเวลานี้ ฟิสิกส์ใหม่กล่าวไว้ชัดเจนว่า “ไม่เท่ากัน” เพราะขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงกับความเร็ว

ดังนั้น คนทุกคนจึงมีเวลาเป็นของตนเอง ไม่เท่ากันเลย แม้แต่คนเดียว  แต่มันแตกต่างกันไม่มาก เราถึงไม่รู้ถึงความแตกต่างนั้น

เรื่องนี้ต้องใช้เรื่อง GPS เป็นตัวอธิบาย

เครื่องรับสัญญาณจีพีเอสนั้น จะบอกได้ว่า เรากำลังอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ถ้ารถของเราหายไป ขโมยมันยังไม่เอาเครื่องรับสัญญาณจีพีเอสออก เราก็จะรู้ว่า ขโมยเอารถของเราไปไว้ที่ไหน

นี่หมายความรวมถึงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่มีราคาแพงๆ ด้วย

ระบบจีพีเอสนั้น มีดาวเทียมทั้งหมด 24 ดวงที่โคจรรอบโลก เพื่อที่จะกำหนดว่า เครื่องรับสัญญาณจีพีเอสนั้น อยู่ ณ ที่แห่งใดในโลก

ทฤษฎีสัมพันธภาพบอกว่า สิ่งที่มีความเร็วสูงๆ เวลาจะเดินช้าลง ในกรณีของดาวเทียมจีพีเอสนั้น มีความเร็ว 14,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น เวลาในดาวเทียมจะเดินช้ากว่าเวลาบนโลกประมาณ เศษ 7 ส่วนล้านของวินาที

ที่นี้มาถึงเรื่องแรงโน้มถ่วง ทฤษฎีสัมพันธภาพบอกว่า ที่ที่มีแรงโน้มถ่วงน้อย เวลาจะเดินเร็วกว่า วงโคจรของดาวเทียมจีพีเอสมีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าบนโลก 4 เท่า นาฬิกาของดาวเทียมจึงเดินเร็วกว่าบนโลก เศษ 48 ส่วนล้านของวินาที

ดังนั้น ในการคำนวณเวลาระหว่างดาวเทียมกับโลกนั้น จึงต้องใช้ 45- 7 =  38 ส่วนล้านของวินาที เครื่องรับสัญญาณจีพีเอสจึงจะชี้ตำแหน่งได้อย่างถูกต้อง

สูตรดังกล่าวที่ว่ามานั้น เป็นสูตรของไอน์สไตน์ ในกรณีเดียวกัน ถ้าใช้สูตรของนิวตันคำนวณ จะบอกตำแหน่งผิดไปประมาณ 11 กิโลเมตร

แล้วเราจะหารถที่หายเจอหรือ หรือในกรณีที่เราหลงทางอยู่ มันจะไปหลงทางหนักเข้าไปอีกหรือ

จากกรณีดังกล่าวนั้น จะเห็นว่า องค์ความรู้ของฟิสิกส์หักล้างองค์ความรู้ของนิวตันโดยสิ้นเชิง และกลับมาสนับสนุนองค์ความรู้ของศาสนาพุทธ

ขุนศึกทรยศทั้งหลาย ยังจะไม่คิดกลับตัวกลับใจอีกหรือ อย่าลืมนะว่า ถ้าได้มีโอกาสตกอเวจีมหานรก  โอกาสกลับมาเป็นมนุษย์ใหม่นั้น ไม่ต้องคิดถึงกันเลย