บทความนี้
ผมต้องการมาพิสูจน์ทฤษฎีของผมต่อว่า พุทธวิชาการ ที่ปฏิบัติธรรมไม่เป็นนั้น
สร้างความเสียหาย
สร้างความสับสนให้กับพุทธศาสนิกชนมากกว่าที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้อง
ถ้าจะพูดอย่างฟันธงก็ว่า
“พุทธวิชาการนี่แหละ ผู้ทำลายศาสนาตัวจริงเสียงจริง”
เพราะ เป็นการทำลายไปที่รากฐานทางวิชาการ
เป็นการทำลายศาสนาที่ฝังลึก
และได้ผลจริง
ขอเปรียบเทียบระหว่างพุทธวิชาการกับพระที่กระทำความผิดจนปราชิก เช่น สมียันตระ สมีนิกร สมีจำลอง (ภาวนาพุทโธ)
เป็นต้น
เหล่าสมีทั้งหลายเหล่านั้น
ทำลายศาสนาเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องบุคคล ส่งผลเสียแห่งการทำลายไม่มาก เพราะ พระดีๆ ก็ยังมีให้พบเห็นอีกมากมาย
ผลเสียจึงมีไม่มากนัก
เมื่อมีข่าวทำนองนี้ขึ้นมา
ผู้คนส่วนหนึ่งอาจจะเลิกตักบาตรไปพักหนึ่ง
แต่พอมีข่าวอื่นๆ และทำใจได้แล้ว
ก็จะกลับมาตักบาตรหรือทำความดีทางศาสนาต่อ
เมื่อเปรียบเทียบกับผลงานของพุทธวิชาการแล้ว
พุทธวิชาการส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษา
คนเชื่อถือว่า สิ่งที่ท่านเขียน สิ่งที่ท่านพูดคือ ความจริง
เมื่อท่านบอกใบ้บ้าง บอกตรงๆ บ้างว่า “นรก-สวรรค์”
ไม่มี ท่านเขียนหนังสือออกไป
สอนออกไป คนก็เลยเชื่อจริงว่า “นรก-สวรรค์” ไม่มี
ทีนี้นรก-สวรรค์นี้คือ
มาตรฐานที่กำหนดการทำความดีความชั่วของพุทธศาสนิกชน คนในยุคที่ผ่านมา เมื่อจะด่าคนที่ทำความเลว จึงมีสำนวนคำด่าว่า “ไม่กลัวบาป
กลัวกรรม”
เมื่อคนไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ก็จึงไม่กลัวบาปกลัวกรรม ผลที่ออกมาก็คือ ความวุ่นวายในสังคมในปัจจุบันนี้
มีการคอร์รัปชั่น
คดโกง คบชู้ สู่ชาย มั่วกิ๊กกันทั่วไปหมด มือใครยาว สาวได้สาวเอา
ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โดยไม่คำนึงถึงว่า เงินที่ได้มา มาจากไหน
เป็นเงินบริสุทธิ์หรือไม่
เข้าเรื่องเสียที
บทความที่จะนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันในวันนี้ เป็นบทความเรื่อง “โลกหน้ามีจริงหรือ”
ผู้เขียนคือ พระศรีรัชมงคลบัณฑิต อาจารย์ประจำคณะศาสนาและปรัชญา
ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ผมจะขอเสนอข้อเขียนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตแบบย่อๆ
ก่อน แต่รับรองเนื้อหาครบถ้วน ไม่ต้องไปอ่านต้นฉบับจริง
ข้อเขียนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิต
มีดังนี้
|
ท่านเคยมีความรู้สึกไหมว่า เมื่อมีใครพูดถึงโลกหน้า มีคนจำนวนไม่น้อยเกือบจะไม่เชื่อ
ค่อนข้างจะไม่เชื่อ หรือถ้าเชื่ออยู่บ้างก็เชื่อไม่เต็มที่
สาเหตุที่กล่าวว่า เกือบจะไม่เชื่อ ค่อนข้างจะไม่เชื่อเพราะเคยได้เห็นได้ยินมาจากการที่คนไทยเราจำนวนหนึ่งที่มักจะอธิษฐานว่า
ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้ตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ได้อย่างนั้นอย่างนี้
หรือขออย่าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือขอให้เกิดมาพบกันกับคนนั้นคนนี้
หรืออย่าได้เกิดมาพบกับคนนั้นคนนี้
ถ้าเชื่อเรื่องชาติหน้าก็คงจะไม่อธิษฐานอย่างนั้น หรือแม้อาการที่บางคนแสดงออกทั้งการ
กระทำและคำพูดไปในทำนองว่าไม่เกรงกลัวต่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่เรื่องผลบาปกรรมก็ไม่เชื่อ
แล้วทำความชั่วได้อย่างตั้งใจ คืออาจจะคิดว่าเมื่อตนตายไปก็เป็นอันสิ้นสุดจบเรื่อง
ถ้าพูดถึงว่าพระไตรปิฎกกล่าวเรื่องโลกหน้าหรือชาติหน้าไว้อย่างไรกันบ้างหรือไม่
ก็ตอบได้เลยว่า ท่านจะใช้คำว่า ปรโลก ซึ่งแปลกันตรง ๆ ว่าโลกอื่น
ซึ่งอาจจะตีความว่าโลกหน้าชาติหน้าก็คงไม่เสียความหมายของศัพท์
ดังพระบาลีพุทธพจน์ที่ว่า ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ
แปลความว่า คนที่มีปกติประพฤติชอบธรรมเป็นธรรมย่อมจะอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น
คำว่า โลกอื่น ในพระบาลีนี้จะตีความว่า โลกหน้าได้หรือไม่ ขอฝากท่านผู้รู้ไว้ด้วย
และยังมีพระบาลีพุทธพจน์อยู่อีกจำนวนมากมีข้อความปรากฏอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎกว่า
กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ แปลว่า คนที่ทำกรรมดี มีความเห็นชอบ
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ คนที่ทำกรรมชั่วมีความเห็นผิดเบื้องหน้าตายเพราะกายแตกย่อมจะเข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก
บูรพาจารย์ที่แปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยก็ไม่ระบุเรื่องโลกหน้าชาติหน้ากันตรงๆ
แต่จะพูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสาร แล้วแต่แรงกรรมดีกรรมชั่วที่คอยผลักดันให้เป็นไป
จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักการเกิดตายในหมู่สัตว์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดจะยกเว้นไว้ก็แต่ท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
การเกิดตายไปในอนาคตข้างหน้าของสรรพสัตว์จะเรียกกันว่า โลกหน้าหรือชาติหน้า
ก็แล้วแต่จะบัญญัติคำเรียก
เรื่องความไม่เชื่อต่อชาติหน้านี้ มิใช่มีแต่เพียงปัจจุบัน แม้ในสมัยที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ยังมีความไม่เชื่อต่อชาติหน้าเช่นกัน
จะขอยกมาเป็นตัวอย่างสักคนหนึ่ง
คนที่ไม่เชื่อต่อเรื่องชาติหน้าที่กล่าวถึงนี้ ก็คือเจ้านครชื่อปายาสิที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกปายาสิราชัญญสูตร
ความว่า ………………
|
เนื้อส่วนส่วนนี้
พระเจ้าปายาสิถามพระรูปหนึ่งว่า ญาติตายไปแล้ว ไปสวรรค์ ไปนรก
ไม่เห็นกลับมาบอกบ้างเลย พระก็ตอบไป อยากรู้รายละเอียดก็ไปหาอ่านเอา
พระศรีรัชมงคลบัณฑิตเขียนตอนจบของบทความของท่านไว้ดังนี้
|
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทิฐิหรือความเห็นที่ผิดๆ แบบของเจ้าปายาสินี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
ก่อนหน้านั้นก็น่าจะมีอยู่ เพราะคนมักจะมีเงื่อนไขไปคนละอย่าง
มีคนอยู่บางกลุ่มมักจะเชื่อเฉพาะเรื่องที่มองเห็นได้ด้วยตาหรือเรื่องที่ตนประสบมาเท่านั้น
แต่ในคนเช่นนั้นก็ยังไม่แน่เสมอไปว่า จะเชื่อเฉพาะเรื่องอย่างนั้นจริงหรือเปล่า หรือบางทีก็มีความลำเอียงเฉพาะเรื่องเฉพาะบุคคล
ข้อสำคัญก็คือความคิดความเห็นต่างๆ อย่าให้เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนของตนในโลกอื่นแม้จะไม่เชื่อเรื่องโลกอื่นหรือโลกหน้า
|
คำวิพากษ์วิจารณ์ของบทความของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตจะเขียนไว้ในบทความต่อไป
โปรดติดตาม.............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น