บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

โลกหน้ามีจริงหรือ?[1]

บทความนี้ ผมต้องการมาพิสูจน์ทฤษฎีของผมต่อว่า พุทธวิชาการ ที่ปฏิบัติธรรมไม่เป็นนั้น สร้างความเสียหาย สร้างความสับสนให้กับพุทธศาสนิกชนมากกว่าที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้อง

ถ้าจะพูดอย่างฟันธงก็ว่า “พุทธวิชาการนี่แหละ ผู้ทำลายศาสนาตัวจริงเสียงจริง” เพราะ เป็นการทำลายไปที่รากฐานทางวิชาการ

เป็นการทำลายศาสนาที่ฝังลึก และได้ผลจริง

ขอเปรียบเทียบระหว่างพุทธวิชาการกับพระที่กระทำความผิดจนปราชิก  เช่น สมียันตระ สมีนิกร สมีจำลอง (ภาวนาพุทโธ) เป็นต้น

เหล่าสมีทั้งหลายเหล่านั้น ทำลายศาสนาเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องบุคคล ส่งผลเสียแห่งการทำลายไม่มาก  เพราะ พระดีๆ ก็ยังมีให้พบเห็นอีกมากมาย

ผลเสียจึงมีไม่มากนัก เมื่อมีข่าวทำนองนี้ขึ้นมา  ผู้คนส่วนหนึ่งอาจจะเลิกตักบาตรไปพักหนึ่ง  แต่พอมีข่าวอื่นๆ  และทำใจได้แล้ว ก็จะกลับมาตักบาตรหรือทำความดีทางศาสนาต่อ

เมื่อเปรียบเทียบกับผลงานของพุทธวิชาการแล้ว พุทธวิชาการส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษา  คนเชื่อถือว่า สิ่งที่ท่านเขียน สิ่งที่ท่านพูดคือ ความจริง

เมื่อท่านบอกใบ้บ้าง  บอกตรงๆ บ้างว่า “นรก-สวรรค์” ไม่มี  ท่านเขียนหนังสือออกไป สอนออกไป  คนก็เลยเชื่อจริงว่า “นรก-สวรรค์” ไม่มี

ทีนี้นรก-สวรรค์นี้คือ มาตรฐานที่กำหนดการทำความดีความชั่วของพุทธศาสนิกชน  คนในยุคที่ผ่านมา  เมื่อจะด่าคนที่ทำความเลว จึงมีสำนวนคำด่าว่า  ไม่กลัวบาป กลัวกรรม

เมื่อคนไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ก็จึงไม่กลัวบาปกลัวกรรม  ผลที่ออกมาก็คือ ความวุ่นวายในสังคมในปัจจุบันนี้

มีการคอร์รัปชั่น คดโกง คบชู้ สู่ชาย มั่วกิ๊กกันทั่วไปหมด มือใครยาว สาวได้สาวเอา ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โดยไม่คำนึงถึงว่า เงินที่ได้มา มาจากไหน เป็นเงินบริสุทธิ์หรือไม่

เข้าเรื่องเสียที

บทความที่จะนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันในวันนี้  เป็นบทความเรื่อง “โลกหน้ามีจริงหรือ” ผู้เขียนคือ พระศรีรัชมงคลบัณฑิต  อาจารย์ประจำคณะศาสนาและปรัชญา ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

ผมจะขอเสนอข้อเขียนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตแบบย่อๆ ก่อน  แต่รับรองเนื้อหาครบถ้วน  ไม่ต้องไปอ่านต้นฉบับจริง 

ข้อเขียนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิต มีดังนี้

ท่านเคยมีความรู้สึกไหมว่า เมื่อมีใครพูดถึงโลกหน้า มีคนจำนวนไม่น้อยเกือบจะไม่เชื่อ ค่อนข้างจะไม่เชื่อ หรือถ้าเชื่ออยู่บ้างก็เชื่อไม่เต็มที่

สาเหตุที่กล่าวว่า เกือบจะไม่เชื่อ ค่อนข้างจะไม่เชื่อเพราะเคยได้เห็นได้ยินมาจากการที่คนไทยเราจำนวนหนึ่งที่มักจะอธิษฐานว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้ตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ได้อย่างนั้นอย่างนี้

หรือขออย่าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือขอให้เกิดมาพบกันกับคนนั้นคนนี้ หรืออย่าได้เกิดมาพบกับคนนั้นคนนี้

ถ้าเชื่อเรื่องชาติหน้าก็คงจะไม่อธิษฐานอย่างนั้น หรือแม้อาการที่บางคนแสดงออกทั้งการ กระทำและคำพูดไปในทำนองว่าไม่เกรงกลัวต่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่เรื่องผลบาปกรรมก็ไม่เชื่อ แล้วทำความชั่วได้อย่างตั้งใจ คืออาจจะคิดว่าเมื่อตนตายไปก็เป็นอันสิ้นสุดจบเรื่อง

ถ้าพูดถึงว่าพระไตรปิฎกกล่าวเรื่องโลกหน้าหรือชาติหน้าไว้อย่างไรกันบ้างหรือไม่

ก็ตอบได้เลยว่า ท่านจะใช้คำว่า ปรโลก ซึ่งแปลกันตรง ๆ ว่าโลกอื่น ซึ่งอาจจะตีความว่าโลกหน้าชาติหน้าก็คงไม่เสียความหมายของศัพท์

ดังพระบาลีพุทธพจน์ที่ว่า ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ แปลความว่า คนที่มีปกติประพฤติชอบธรรมเป็นธรรมย่อมจะอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น

คำว่า โลกอื่น ในพระบาลีนี้จะตีความว่า โลกหน้าได้หรือไม่ ขอฝากท่านผู้รู้ไว้ด้วย

และยังมีพระบาลีพุทธพจน์อยู่อีกจำนวนมากมีข้อความปรากฏอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎกว่า กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ แปลว่า คนที่ทำกรรมดี มีความเห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ คนที่ทำกรรมชั่วมีความเห็นผิดเบื้องหน้าตายเพราะกายแตกย่อมจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

บูรพาจารย์ที่แปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยก็ไม่ระบุเรื่องโลกหน้าชาติหน้ากันตรงๆ แต่จะพูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสาร แล้วแต่แรงกรรมดีกรรมชั่วที่คอยผลักดันให้เป็นไป

จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักการเกิดตายในหมู่สัตว์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดจะยกเว้นไว้ก็แต่ท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

การเกิดตายไปในอนาคตข้างหน้าของสรรพสัตว์จะเรียกกันว่า โลกหน้าหรือชาติหน้า ก็แล้วแต่จะบัญญัติคำเรียก

เรื่องความไม่เชื่อต่อชาติหน้านี้ มิใช่มีแต่เพียงปัจจุบัน แม้ในสมัยที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ยังมีความไม่เชื่อต่อชาติหน้าเช่นกัน จะขอยกมาเป็นตัวอย่างสักคนหนึ่ง

คนที่ไม่เชื่อต่อเรื่องชาติหน้าที่กล่าวถึงนี้ ก็คือเจ้านครชื่อปายาสิที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกปายาสิราชัญญสูตร ความว่า ………………

เนื้อส่วนส่วนนี้ พระเจ้าปายาสิถามพระรูปหนึ่งว่า ญาติตายไปแล้ว ไปสวรรค์ ไปนรก ไม่เห็นกลับมาบอกบ้างเลย พระก็ตอบไป อยากรู้รายละเอียดก็ไปหาอ่านเอา

พระศรีรัชมงคลบัณฑิตเขียนตอนจบของบทความของท่านไว้ดังนี้

ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทิฐิหรือความเห็นที่ผิดๆ แบบของเจ้าปายาสินี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ก่อนหน้านั้นก็น่าจะมีอยู่ เพราะคนมักจะมีเงื่อนไขไปคนละอย่าง

มีคนอยู่บางกลุ่มมักจะเชื่อเฉพาะเรื่องที่มองเห็นได้ด้วยตาหรือเรื่องที่ตนประสบมาเท่านั้น แต่ในคนเช่นนั้นก็ยังไม่แน่เสมอไปว่า จะเชื่อเฉพาะเรื่องอย่างนั้นจริงหรือเปล่า หรือบางทีก็มีความลำเอียงเฉพาะเรื่องเฉพาะบุคคล

ข้อสำคัญก็คือความคิดความเห็นต่างๆ อย่าให้เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนของตนในโลกอื่นแม้จะไม่เชื่อเรื่องโลกอื่นหรือโลกหน้า

คำวิพากษ์วิจารณ์ของบทความของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตจะเขียนไว้ในบทความต่อไป


โปรดติดตาม.............




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น