บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อย่าชี้นำในทางที่ผิด



บทความนี้ก็คงมาถึงคราวสรุปกันเสียที

ดินแดนแหลมทองของไทยเรานี้ ก่อนหน้าที่..... ของพระเจ้าอโศกมหาราชจะมาเผยแพร่ศาสนานั้น  เรานับถือผีกันมาก่อน  ในช่วงนั้น เราก็คงไม่รู้จักนรกสวรรค์ใดๆ เป็นผู้มืดบอดในทางปัญญาโดยสิ้นเชิง

เมื่อได้รับความรู้จากพระพุทธศาสนา เราก็เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ การเวียนว่ายตายเกิด นรก สวรรค์ รูปพรหม อรูปพรหม นิพพาน

ความรู้ในจักรวาลทัศน์ของพระพุทธศาสนานั้น ที่ได้มาจากการสั่งสอนของภิกษุในศาสนาพุทธ ทำให้คนไทยกลัวบาปกรรม กลัวการไปชดใช้กรรมชั่วในภายภาคหน้า

ในขณะที่ที่กลัวบาปกรรม ก็รู้จักผลดีของบุญ และเชื่อว่า ผลบุญจะส่งให้อยู่ดีมีสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า

สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่สงบสุข เอื้ออาทรต่อกันและกัน มาเป็นระยะเวลานับเป็นพันปี เพราะความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์นั้น คือ มาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมของคนไทย

ปลายรัชกาลที่ 3 ต่อเนื่องมาถึงตอนต้นรัชกาลที่ 4  องค์ความรู้ของตะวันตกเริ่มเข้ามาในประเทศ พร้อมกับสนธิสัญญบาวริ่ง

ความเป็นเหตุเป็นผล วิทยาศาสตร์ ความเจริญก้าวหน้าต่างๆ อันเป็นผลพวงจากความรู้ของวิทยาศาสตร์ทำให้ขุนศึกของศาสนาพุทธ แปลงกายเป็นขุนศึกทรยศ

ขุนศึกทรยศเหล่านั้น ไม่เชื่อพระไตรปิฎก แต่กลับไปเชื่อของใหม่ที่เข้ามาในประเทศ  ถึงกลับปฏิเสธไปว่า นรกสวรรค์ไม่มี อิทธิปาฏิหาริย์ไม่มี นิพพานไม่มี  คนเราตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียวเท่านั้น

ที่ต้องกล่าวไปเช่นนั้น ก็เพราะว่า ไม่ว่าจะเป็นนิวตันเอง หรือไอน์สไตน์เอง ไม่เคยปฏิเสธเรื่องนรกสวรรค์ในศาสนาพุทธแต่อย่างใด  มีแต่คนในศาสนาพุทธเองเท่านั้น ที่ปฏิเสธนรกสวรรค์

อย่างไรก็ดี  วิทยาศาสตร์เก่าในยุคนิวตันนั้น ก็ถึงคราวประสบกับเคราะห์กรรมบ้าง กล่าวคือ จากความเชื่อที่ว่า วิทยาศาสตร์ในยุคนิวตันค้นพบความจริงของโลกหมดสิ้นแล้ว กลับปรากฏว่า วิทยาศาสตร์ในยุคนิวตันค้นพบความจริงได้เพียงแคบๆ เท่านั้น

ฟิสิกส์ใหม่ในยุคของไอน์สไตน์ได้โค่นทฤษฎีและกฎของวิทยาศาสตร์ในยุคนิวตันไปเกือบหมดสิ้น  วิทยาศาสตร์ในยุคของนิวตันจึงไม่ควรมีบทบาทในการตัดสินองค์ความรู้ใดๆ ว่าเป็นจริง หรือไม่เป็นจริง

ความจริงของฟิสิกส์ใหม่นั้น พิลึกพิลั่นไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าเรื่องนรกสวรรค์ของศาสนาพุทธเสียอีก ในเมื่อพวกเราเชื่อฟิสิกส์ใหม่ได้  ก็ควรที่จะเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ได้เช่นเดียวกัน

สิ่งที่ควรคำนึงกันเป็นอย่างที่สุดก็คือ ฟิสิกส์ใหม่ในยุคของไอน์สไตน์นั้น มีทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ 2 ทฤษฎีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ กลศาสตร์ควอนตัมกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป

ในระดับอะตอมกลศาสตร์ควอนตัมค้นพบความจริงอันเป็นที่สุด อย่างน้อยก็ในยุคนี้  ในระดับจักรวาลก็เช่นเดียวกัน ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปก็เป็นค้นพบความจริงอันเป็นที่สุด

ทั้งกลศาสตร์ควอนตัมและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปใช้คณิตศาสตร์ที่แตกต่างกัน แต่ก็ให้ความจริงในขอบเขตของตน

นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกต่างก็ใช้ประโยชน์จากทฤษฎีทั้งสองร่วมกัน  เมื่อศึกษาในเรื่องอะตอมก็ใช้กลศาสตร์ควอนตัม ในเมื่อต้องการศึกษาจักรวาลก็ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป

เมื่อขยายมุมมองให้กว้างขึ้น และมามองสภาพสังคมในเมืองไทยของเรา ทำไมเราไม่ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และศาสนาร่วมกัน

ทำไมจะต้องเอาวิทยาศาสตร์ในยุคนิวตันไปทำลายศาสนา ทั้งๆ ที่รู้ว่า วิทยาศาสตร์ในยุคนิวตันนั้น เป็นของจริงที่แคบๆ ในด้านวิทยาศาสตร์ และเป็นองค์ความรู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับศาสนาพุทธเลย แม้แต่น้อย

ความเชื่อทั้งหลายที่ผิดๆ เกี่ยวกับนรกสวรรค์ที่เกิดจากขุนศึกทรยศที่หันไปเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนา ควรได้การชำระสะสาง ไม่ควรเอาวิทยาศาสตร์ไปตัดสินว่า นรก สวรรค์ อิทธิปาฏิหาริย์มีหรือไม่มี

ขุนศึกทรยศทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระหรืออุบาสก หรือฆราวาสใดๆ ไม่ควรไปชี้นำสังคมว่า นรกสวรรค์ไม่มี ฯลฯ

พระไตรปิฎกสอนไว้อย่างใด ก็ควรจะ “สอน” หรือ “เผยแพร่” ไปอย่างนั้น  วิทยาศาสตร์สอนอย่างไร มีขอบเขตแค่ไหนก็ควรจะสอนไปอย่างนั้นเช่นเดียวกัน

ใครจะเชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่มี ก็ควรให้เขาผู้นั้น ไตร่ตรองพิจารณาด้วยตัวของเขา ไม่ใช่ไปชี้นำในทางปฏิเสธเหมือนอย่างที่เคยทำมา

การชี้นำไปอย่างนั้น สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ขาดศีลธรรมอย่างรุนแรงอย่างที่เห็นได้ในปัจจุบัน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น