ในบทความ
“โลกหน้ามีจริงหรือ?[1]”
ผมนำเสนอข้อเขียนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิต เรื่อง “โลกหน้ามีจริงหรือ” ไปแล้ว
บทความนี้
จะถึงคราวที่วิพากษ์วิจารณ์กัน
เพื่อความสะดวกของท่านผู้อ่าน ผมจะนำข้อความของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตมาเสนออีกครั้งหนึ่ง โดยตัวอักษรสีน้ำเงิน คำวิพากษ์วิจารณ์ของผมก็จะเป็นตัวอักษรสีดำ
|
ท่านเคยมีความรู้สึกไหมว่า เมื่อมีใครพูดถึงโลกหน้า มีคนจำนวนไม่น้อยเกือบจะไม่เชื่อ
ค่อนข้างจะไม่เชื่อ
หรือถ้าเชื่ออยู่บ้างก็เชื่อไม่เต็มที่
|
ถ้าเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ ผมฟันธงได้เลยว่า พระศรีรัชมงคลบัณฑิตก็ไม่เชื่อว่า
“โลกหน้ามี” คือ พระศรีรัชมงคลบัณฑิตเชื่อว่า “โลกหน้าไม่มี”
คำว่าโลกหน้านี้ อย่าไปนึกว่า เป็นคำเพียง 2 พยางค์
ไม่น่าจะส่งผลอะไรนักหนาต่อศาสนาพุทธ
คำเพียง 2 พยางค์นี้แหละ สามารถทำลายศาสนาพุทธให้สูญสิ้นไปได้
คำว่าโลกหน้ากินความหมายมาก
หมายถึงการเวียนตายเวียนเกิด ถ้าเชื่อว่า โลกหน้าไม่มี บุญกรรมก็ไม่มี นรก-สวรรค์ก็ไม่มี
เมื่อคนในสังคมเชื่อว่า
โลกหน้าไม่มี บุญกรรมก็ไม่มี นรก-สวรรค์ก็ไม่มี
สังคมไทยจะอยู่ได้อย่างไร
ความวุ่นวายต่างๆ ก็จะเกิดขึ้น
อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้แหละ
|
สาเหตุที่กล่าวว่า เกือบจะไม่เชื่อ ค่อนข้างจะไม่เชื่อเพราะเคยได้เห็นได้ยินมา
จากการที่คนไทยเราจำนวนหนึ่ง ที่มักจะอธิษฐานว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง
ขอให้ตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ได้อย่างนั้นอย่างนี้ หรือขออย่าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
หรือขอให้เกิดมาพบกันกับคนนั้นคนนี้ หรืออย่าได้เกิดมาพบกับคนนั้นคนนี้
|
ผมค่อนข้างจะประหลาดใจกับการเขียนบทความของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตมาก ประหลาดใจในความสามารถทางภาษาของท่านมาก
ท่านใช้พยางค์ของคำอธิษฐานว่า
“ถ้าชาติหน้ามีจริง” มาตีความสรุปว่า
คนที่อธิษฐานแบบนั้น เกือบจะไม่เชื่อ ค่อนข้างจะไม่เชื่อ
ว่าชาติหน้ามีจริง
ตอนนี้อาจจะเป็นความผิดพลาดในการเขียนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตก็ได้ คือ ท่านอาจจะไม่คิดอย่างที่เขียนไป แต่การเขียนบทนำนี้ยากมาก จึงเขียนๆ ไปอย่างนั้นเอง
เพื่อจะนำไปหาเนื้อเรื่อง
แต่ถ้าเป็นความเข้าใจของท่านจริงๆ
ผมก็ว่า พระศรีรัชมงคลบัณฑิต อ่อนในด้านภาษามาก
คนที่อธิษฐานขอให้ชาติหน้าเป็นโน่นเป็นนี่นั้น ต้องเป็นคนที่เชื่อว่า “ชาติหน้ามีจริง” เกินร้อยละ 80 ขึ้นไป
ถ้าไม่เชื่อเรื่องชาติหน้า จะไปอธิษฐานทำไม
คนกลุ่มนี้
เมื่อก่อนนี้ เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง 100 % พวกพุทธวิชาการหรือนักปริยัติอย่างพระศรีรัชมงคลบัณฑิตนี้แหละ ที่ทำให้ความเชื่อมั่นของบุคคลกลุ่มนี้ลดลง
|
ถ้าเชื่อเรื่องชาติหน้าก็คงจะไม่อธิษฐานอย่างนั้น หรือแม้อาการที่บางคนแสดงออกทั้งการกระทำและคำพูดไปในทำนองว่าไม่เกรงกลัวต่ออะไรทั้งนั้น
แม้แต่เรื่องผลบาปกรรมก็ไม่เชื่อ
แล้วทำความชั่วได้อย่างตั้งใจ คืออาจจะคิดว่าเมื่อตนตายไปก็เป็นอันสิ้นสุดจบเรื่อง
|
ตรงนี้ในด้านเนื้อหาก็ถือว่า
ผมวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว
แต่ถ้าวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการเขียนถือว่า
ยังมีข้อบกพร่องอยู่ถ้าเป็นการเขียนงานวิชาการโดยทั่วไป
แต่งานเขียนในเว็บแบบนี้
ก็ต้องให้อภัยกันบ้าง เพราะ รีบร้อนบ้าง เวลาน้อยบ้าง ข้อเขียนต่างๆ จึงต้องหยวนๆ
กันบ้าง
|
ถ้าพูดถึงว่า พระไตรปิฎกกล่าวเรื่องโลกหน้าหรือชาติหน้าไว้อย่างไรกันบ้างหรือไม่
ก็ตอบได้เลยว่า ท่านจะใช้คำว่า ปรโลก ซึ่งแปลกันตรงๆ ว่าโลกอื่น ซึ่งอาจจะตีความว่า
โลกหน้าชาติหน้าก็คงไม่เสียความหมายของศัพท์
|
เนื้อหาตรงนี้
เริ่มแสดงให้เห็นตัวตนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตแล้ว ว่าพระศรีรัชมงคลบัณฑิต
ท่านไม่เชื่อเรื่องโลกหน้ามี
พระศรีรัชมงคลบัณฑิต
ท่านต้องมีความรู้ทางภาษาบาลีมากพอสมควร ทำไมไม่ฟันธงไปเลยว่า คำว่า “ปรโลก” ก็คือ
“โลกหน้า” ซึ่งหมายความการเวียนตายเวียนเกิด
อย่างที่มีอยู่ในไตรภูมิพระร่วงมีจริงๆ
จะไปกระบิดกระบวนตีความว่า
“อาจจะตีความว่า โลกหน้าชาติหน้าก็คงไม่เสียความหมายของศัพท์”
ไปทำไม
ก็ฟันธงแบบที่ผมเขียนนี่แหละ ผมไม่เห็นจะกลัวว่า ใครจะมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า
ผมงมงายอะไรเลย
ขอให้มาวิพากษ์วิจารณ์กันซึ่งๆ หน้า และให้เป็นไปแบบนักวิชาการก็แล้วกัน
|
ดังพระบาลีพุทธพจน์ที่ว่า ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ
แปลความว่า คนที่มีปกติประพฤติชอบธรรมเป็นธรรมย่อมจะอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น
คำว่า โลกอื่น ในพระบาลีนี้จะตีความว่า โลกหน้าได้หรือไม่ ขอฝากท่านผู้รู้ไว้ด้วย
|
เนื้อหาตรงนี้
ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น “คำว่า โลกอื่น ในพระบาลีนี้จะตีความว่า โลกหน้าได้หรือไม่ ขอฝากท่านผู้รู้ไว้ด้วย”
พระศรีรัชมงคลบัณฑิตจะไปฝากท่านผู้รู้ที่ไหน ท่านเองก็รู้
เพื่อนร่วมงานของท่านก็รู้
ท่านสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยนะท่าน
อาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยฝากท่านผู้รู้เกี่ยวกับการตีความภาษาบาลี
ท่านผู้รู้ที่ไหนเขาจะกล้ามาแนะนำท่านเล่า...
เนื้อหาของย่อหน้าดังกล่าว
ฟันธง, ฟันธง และฟันธงได้เลยว่า พระศรีรัชมงคลบัณฑิต ท่านไม่เชื่อเรื่องโลกหน้ามี
|
และยังมีพระบาลีพุทธพจน์อยู่อีกจำนวนมากมีข้อความปรากฏอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎกว่า
กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ แปลว่า คนที่ทำกรรมดี มีความเห็นชอบ
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ คนที่ทำกรรมชั่วมีความเห็นผิดเบื้องหน้าตายเพราะกายแตกย่อมจะเข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก
บูรพาจารย์ที่แปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยก็ไม่ระบุเรื่องโลกหน้าชาติหน้ากันตรงๆ
แต่จะพูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสาร แล้วแต่แรงกรรมดีกรรมชั่วที่คอยผลักดันให้เป็นไป
จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักการเกิดตายในหมู่สัตว์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดจะยกเว้นไว้ก็แต่ท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
การเกิดตายไปในอนาคตข้างหน้าของสรรพสัตว์จะเรียกกันว่า โลกหน้าหรือชาติหน้า ก็แล้วแต่จะบัญญัติคำเรียก
เรื่องความไม่เชื่อต่อชาติหน้านี้ มิใช่มีแต่เพียงปัจจุบัน แม้ในสมัยที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ยังมีความไม่เชื่อต่อชาติหน้าเช่นกัน
จะขอยกมาเป็นตัวอย่างสักคนหนึ่ง
คนที่ไม่เชื่อต่อเรื่องชาติหน้าที่กล่าวถึงนี้ ก็คือเจ้านครชื่อปายาสิที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกปายาสิราชัญญสูตร
ความว่า ………………
|
เนื้อส่วนส่วนนี้
พระเจ้าปายาสิถามพระรูปหนึ่งว่า ญาติตายไปแล้ว ไปสวรรค์ ไปนรก
ไม่เห็นกลับมาบอกบ้างเลย พระก็ตอบไป อยากรู้รายละเอียดก็ไปหาอ่านเอา
พระศรีรัชมงคลบัณฑิตเขียนตอนจบของบทความของท่านไว้ดังนี้
|
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทิฐิหรือความเห็นที่ผิดๆ แบบของเจ้าปายาสินี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
ก่อนหน้านั้นก็น่าจะมีอยู่ เพราะคนมักจะมีเงื่อนไขไปคนละอย่าง มีคนอยู่บางกลุ่มมักจะเชื่อเฉพาะเรื่องที่มองเห็นได้ด้วยตาหรือเรื่องที่ตนประสบมาเท่านั้น
แต่ในคนเช่นนั้นก็ยังไม่แน่เสมอไปว่า จะเชื่อเฉพาะเรื่องอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
หรือบางทีก็มีความลำเอียงเฉพาะเรื่องเฉพาะบุคคล
ข้อสำคัญก็คือความคิดความเห็นต่างๆ อย่าให้เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนของตนในโลกอื่นแม้จะไม่เชื่อเรื่องโลกอื่นหรือโลกหน้า
|
คำวิพากษ์วิจารณ์ของบทความของพระศรีรัชมงคลบัณฑิตจะเขียนไว้ในบทความต่อไป
โปรดติดตาม.............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น