วันนี้หาเรื่อง
“เฉียดขอบนรก” ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ข้อเขียนของพระปริยัติธรรมคนดังสักคนหนึ่ง
คือ ท่าน ว. วชิรเมธี
ท่าน
ว. วชิรเมธีเขียนเรื่อง “นรก สวรรค์ มีจริงหรือ?” ไว้ในนิตยสาร Secret ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑๒ (๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๑)
แต่ผมไม่ได้อ่านนิตยสารที่ว่า เนื้อหาที่เอามาวิพากษ์วิจารณ์นี้
มาจากหน้าเว็บ “นรก
สวรรค์ มีจริงหรือ?”
ท่าน
ว. วชิรเมธี เกริ่นนำบทความด้วยคำถามที่ว่า
สวรรค์-นรก มีจริงหรือเปล่าครับ และถ้ามีจริง
สวรรค์-นรกอยู่ที่ไหน
คนที่นับถือศาสนาอื่นมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกเหมือนชาวพุทธไหมครับ
|
เมื่อถามเองแล้ว
ท่าน ว. วชิรเมธีก็มาตอบเองว่า
ถ้าตอบตามหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎกก็คงต้องตอบว่า
“มี” แน่นอน
อยู่ที่ไหน น่าจะอยู่ใน ๓ มิติ
มิติจิตใจ
มิติสถานที่ในชีวิตนี้
มิติหลังจากตายแล้ว
|
ขอให้สังเกตดูคำตอบของพระปริยัติธรรมทั้งหลาย
มักจะออกมาทำนองนี้ คือ พยายามอธิบายให้เป็นไปในทางวิชาการ
ซึ่งคนอ่านที่เชื่อวิทยาศาสตร์จะชอบคำตอบแบบนี้ แต่ในกรณีที่เป็นพระปฏิบัติธรรม
ก็คงไม่ตอบแบบนี้
ถ้าผมเป็นพระ
(ซึ่งเคยเป็นมาแล้ว 4 ครั้ง) ผมก็จะตอบว่า
“มีจริง แต่อาตมายังไม่เห็นหรอกนะ เพราะยังปฏิบัติไปไม่ถึง
ถ้าเมื่อไหร่เห็นด้วยตาของอาตมาแล้ว ก็มาถามใหม่”
|
แค่นี้ก็ตอบกันไม่ได้
ก็บอกง่ายๆ
ว่า พระพุทธเจ้าสอนเฉพาะสิ่งที่เป็นความจริงเท่านั้น เรื่องนอกนี้
พระองค์ไม่สอน
คนที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็เพราะไปเชื่อวิทยาศาสตร์
ก็บอกไปเลยว่า
วิทยาศาสตร์มันเปลี่ยนแปลงบ่อยจะตาย จะเอาเป็นมาตรฐานได้อย่างไร
ประการสำคัญเลยก็คือ
วิทยาศาสตร์เขาไม่เคยมาศึกษาเรื่องอย่างนี้
แล้วเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นเกณฑ์จับผิดว่า
คำสอนของศาสนาพุทธไม่จริงได้อย่างไร
มาวิพากษ์วิจารณ์คำตอบกันเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ
(๑) มิติจิตใจ
|
ท่านก็หมายถึง
“สวรรค์ในอก นรกในใจ”
อันนี้ไม่ว่ากัน
แต่ถ้าเป็นผมตอบ ผมจะตอบตรงๆ ว่า นรกสวรรค์มีจริงๆ ไม่ต้องเปรียบเทียบสวรรค์ในอก
นรกในใจให้ปวดหัว ใครไม่เชื่อ ก็เรื่องของมัน
(๒) มิติสถานที่ในชีวิตนี้
|
ข้อนี้
ท่าน ว. วชิรเมธี หมายถึง
สถานที่ใดก็ตามที่คนชั่วกำลังได้รับผลแห่งกรรมชั่วของตนอยู่ในที่นั้น สถานที่เช่นนี้เองคือนรก
สถานที่ใดก็ตามที่คนดีกำลังได้รับผลกรรมดีของตนอยู่
สถานที่เช่นนี้เองคือสวรรค์
|
แล้วท่านก็เล่าเรื่องจากพระคัมภีร์พระธรรมบทที่ว่า
มีพระอรหันต์เห็นเปรตด้วยทิพยจักษุของท่านที่เชิงเขาคิชกูฎ แล้วก็มาทูลพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ทรงรับรองว่า
พระองค์ก็เคยเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน
แต่ที่ไม่ทรงนำมาเล่าก็เพราะไม่อยากให้คนที่ไม่เห็น ไม่เชื่อ ต้องมาเสียเวลาทักทวง
อันเป็นการต่อความยาวสาวความยืดไม่รู้จบ
ท่าน
ว. วชิรเมธี สรุปว่า
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราได้ข้อสรุปว่า
นรก-สวรรค์ในมิติสถานที่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในชีวิตนี้
ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่า
เราไม่สามารถมองเห็นสถานที่เหล่านั้นด้วยตาเนื้อ
เพราะเราไม่มีทิพยจักษุนั่นเอง
ใครอยากเห็นต้องพัฒนาตนจนมีทิพยจักษุให้ได้เสียก่อน
ตรงนี้ผมเริ่มงงๆ
กับท่าน ว. วชิรเมธีเสียแล้วว่า มีข้อนี้ขึ้นมาทำไม เอาแค่ข้อหนึ่งกับข้อสามก็พอแล้ว คือ
สวรรค์ในอก นรกในใจเพื่อเปรียบเทียบ กับสวรรค์นรกจริงๆ ไปเลย
เพราะ
เรื่องที่เล่ามาในข้อที่สองนี้ มันก็คือ สวรรค์นรกจริงๆ ก็เปรตมันมาอยู่ในมนุษยโลกได้
เพราะ โทษทัณฑ์เบาบางลงไปแล้ว
ทำไมจะต้องมาแบ่งเป็นอีกข้อหนึ่งให้มันยุ่งยากขึ้นก็ไม่รู้
(๓) มิติหลังจากตายแล้ว
|
ท่าน
ว. วชิรเมธีอธิบายข้อนี้ไว้ดังนี้
นรก-สวรรค์ในมิติหลังความตายไปแล้ว
คือ สภาพชีวิตที่เราแต่ละคนได้ประสบในภพนั้น ๆ หลังจากล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว
ข้อนี้อ้างอิงจากข้อความที่พบบ่อยๆ
ในพระไตรปิฎกว่า “เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
หริออบายทุคติ วินิบาต…”
|
แล้วท่านก็เล่าเรื่อง
พระนางสามาวดี ชายาของพระเจ้าอุเทนแห่งนครโกสัมพีที่เคยก่อไฟผิง
แต่ไฟได้ลามไปไหม้ป่า และเผาพระอรหันต์ตายไปในกองไฟ
เมื่อเห็นพระอรหันต์ตาย
ยังมีซากอยู่ ก็เลยให้บริวารเผาซ้ำจนไม่เหลือซาก
ชาตินี้
พระนางสามาวดีก็ถูกคู่อริจ้างคนร้ายมาเผาตำหนัก
ทำให้พระนางต้องสิ้นพระชนม์ท่ามกลางกองไฟ
เมื่อพิจารณาคำตอบของพระปริยัติอย่างเช่นท่าน
ว. วชิรเมธีแล้ว ก็เหมือนนักปริยัติท่านอื่นๆ ที่ไม่กล้าเขียนไปตรงๆ ว่า
นรกมีจริงๆ กี่ขุมก็ว่ากันไป
อบายภูมิอื่นๆ
ก็มีจริงๆ รายละเอียดก็ว่ากันไป สวรรค์มี 6 ชั้น
รูปพรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4
ชั้นก็ว่าไป ตามพระไตรปิฎกเลย
ทำไมท่านไม่กล้าเขียนลงไป
ที่ไม่กล้าเขียนก็เพราะกลัวเสียชื่อเสียงปลอมๆ
ของท่าน เพราะ ท่านเชื่อวิชาการสมัยใหม่มากกว่าที่จะเชื่อพระไตรปิฎก
ท่านไม่ปฏิบัติธรรมให้เป็นหลักเป็นฐาน เพราะ ท่านไม่เชื่อ
เมื่อเปรียบเทียบกับผม
ผมเป็นวิทยากรสอนธรรมปฏิบัติโดยวิชาธรรมกาย
ผมขอยืนยัน เดินยัน นอนยันเลยว่า
นรกมีจริง
สวรรค์มีจริง สามารถไปดูได้ด้วยวิชาธรรมกาย
ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
ผมจบปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
ผมไม่เห็นจะกลัวใครจะมาว่า “ผมโง่งมงายเพราะเชื่อเรื่องเหล่านี้”
เลย
หรือว่า
สมัยนี้ อุบาสก อุบาสิกาจะทำงานให้พระศาสนาดีกว่าภิกษุเสียแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น