บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

นรกสวรรค์ถูกทำลาย




ข้อความที่ว่า “นรกสวรรค์ถูกทำลาย” นั้น ไม่ได้หมายความว่า มีใครเอาสีไปทานรกสวรรค์แบบทางม้าลาย และไม่ได้หมายความว่า มีใครไปทำให้นรกสวรรค์หายไป

แต่หมายความว่า ความเชื่อว่านรกสวรรค์ไม่จริง ถูกทำให้เป็นความเชื่อที่เหลวไหล ไม่จริง เป็นความเชื่อของคนไม่มีการศึกษา

ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มีจริงนั้น ในสังคมไทยมีอยู่ทั่วไปหมด ไม่ว่าในวัด ซึ่งจำเป็นจะต้องมีอยู่แล้ว ในนิทาน ในนวนิยาย ในละคร ในเพลง ฯลฯ  เรียกว่า ในสังคมไทยนั้น มีสิ่งที่สื่อจะให้เห็นว่า นรกสวรรค์มีจริงเต็มไปหมด

แล้วความคิดที่ไปกำหนดว่า “นรกสวรรค์ไม่มีจริง” มันมาจากไหน และมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่

ถ้ามีใครอ่านพระไตรปิฎกกันอย่างใจเป็นกลาง จะเห็นว่า ในพระไตรปิฎกมีเรื่องที่เกี่ยวกับนรกสวรรค์เต็มไปหมด

มีมากจนกระทั่งท่านพุทธทาสเข้าตีความไปว่า มีการเอานรกสวรรค์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาใส่ไว้

แต่ที่คนไทยเข้าใจกัน และรู้เรื่องนรกสวรรค์กันมากก็จากวรรณคดีของเรื่องไตรภูมิพระร่วงของพระยาลิไท

อิทธิพลของไตรภูมิพระร่วง ทำให้เกิดวรรณคดีทำนองอีกมากมายหลายเล่ม คือ วรรณคดีที่มีการบรรยายถึง กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ บาปกรรม การทำดี ทำชั่ว

นั่นก็หมายความว่า เราเชื่อเรื่อง นรกสวรรค์ บุญบาป กรรมดี กรรมชั่วกันมานานแล้ว ก็ตั้งแต่มีศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนแหลมทองของเรานี่แหละ

ความเชื่อดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ส่วนใหญ่จะไปอยู่กับชาวบ้านร้านถิ่น พระป่า อันเป็นชนชั้นล่างของสังคม  ส่วนคนชั้นกลาง คนชั้นสูงที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก ไม่เชื่อกันแล้ว 

นอกจากไม่เชื่อแล้ว ยังไปดูถูกคนเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ว่า โง่ ขาดการศึกษา ไม่มีเหตุผล ไม่ทันสมัยเข้าไปอีก

ความเชื่อของคนที่เห็นว่า นรกสวรรค์ไม่มีจริงนั้น มากับองค์ความรู้ของทางตะวันตก ตั้งแต่ปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 ต่อเนื่องมาถึงตอนต้นรัชกาลที่ 4

ถ้าจะกำหนดเวลาให้แคบลงไป ก็ต้องถือเอาวันที่ประเทศไทยในยุคนั้นทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๘

เมื่อชาวตะวันตกเข้ามาในเมืองไทยนั้น ไม่ได้มาแบบตัวเปล่า ได้เอาความรู้และวิทยาการของพวกเขาเข้ามาด้วย

หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ที่เราได้ร่ำเรียนกันในโรงเรียนก็เอามาจากตะวันตก  วิชาการทั้งหลาย แม้กระทั่งวิชาภาษาไทย เราก็เรียนการสอนกันตามองค์ความรู้ของทางตะวันตก

ตัวการที่ทำลายความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ลงไปนั้น มีหลายอย่างหลายประการ แต่เอาจะกำหนดให้แคบจริงๆ เพื่อจะวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไปได้ ก็มี 2 อย่าง คือ
1) วิทยาศาสตร์
2) ความเป็นเหตุเป็นผล (rationalization)

ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด เราก็ต้องศึกษาเบื้องหลังความเป็นมาเกี่ยวกับศาสนากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตกกันสักเล็กน้อย

ก่อนหน้าที่จะเกิดยุควิทยาศาสตร์ขึ้นนั้น  ทางยุโรปองค์ความรู้ทั้งหมดอยู่กับพระของศาสนาคริสต์ พระว่าโลกแบน โลกก็ต้องแบน  พระว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โลกก็ต้องเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

นักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกๆ เผยแพร่ความรู้ใดก็ตามที่ขัดกับคำสอนของศาสนาคริสต์ต้องถูกจัดการ ขนาดเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย เป็นพระด้วย ยังถูกเผาทั้งเป็นมาแล้ว

อย่างไรก็ดี  วิทยาศาสตร์ก็เอาชนะคำสอนของศาสนาคริสต์มาได้ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะทั้งเดี้ยงทั้งตายไปมากก็ตาม

ขนาดกาลิเลโอ (Galileo Galilei) ยังต้องเก็บตัวเงียบ และไม่กล้าเผยแพร่วิทยาศาสตร์อีก ถ้าไม่เงียบโป๊ปจะสั่งเผาทั้งเป็นแบบข้าวหลามว่าอย่างนั้นเถอะ

นักวิทยาศาสตร์จึงเรียกยุคนั้นว่า ยุคแห่งแสงสว่าง (Enlightenment) หรือยุคสมัยใหม่ (Modern times)  สำนวนที่ว่า “ไม่ทันสมัย” ที่มีไว้สำหรับด่าคนไม่มีการศึกษา ก็น่าจะมาจากเรื่องนี้

เมื่อวิทยาศาสตร์ชนะคำสอนหลายๆ เรื่องของศาสนาคริสต์มาได้ จึงเอาคืนบ้าง คือ ตั้งแต่นั้นมา วิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นศาสนาใหม่ขึ้นมาแทน

ความรู้ใดไม่เข้ากับวิทยาศาสตร์ และขาดความเป็นเหตุเป็นผล (irrationalization) ก็ถูกกำจัดออกไป เรื่องไหนพอที่จะตีความกันได้ ก็ต้องตีความกันใหม่ ให้เข้าไปกับวิทยาศาสตร์

ไม่ว่าศาสนาไหนก็โดนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคริตศาสนา ศาสนาอิสลาม ศาสนาพรามหณ์-ฮินดู สุดท้ายก็ศาสนาพุทธ โดนกันทั้งหมด

ประเด็นที่ว่าคำสอนของศาสนาโดนทำลาย หรือมีการตีความใหม่นั้น ศาสนาพุทธของเรา โดนหนักกว่าศาสนาอื่น

ศาสนาอื่นๆ นั้น นักบวชของเขายังคงที่ คือยังเชื่อไปตามคำสอนของศาสดา  สิ่งที่น่าตกใจในศาสนาพุทธก็คือ พระภิกษุของเรา ดันไปเชื่อวิทยาศาสตร์ และไม่เชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริงๆ

ผมถึงเกลียดพระพวกนี้มาก  และผมก็ต่อสู้มาโดยตลอดว่า ในเมื่อพวกคุณเป็นพระ แล้วไม่เชื่อว่ามีนรก มีสวรรค์ แล้วจะบวชหา “วรนุส” ไปทำไม

ทำไมไม่สึกไปทำมาหากินเอง เอาผ้าเหลืองเป็นเครื่องมือทำมาหากินอยู่ทำไม  พระพวกนั้น ก็หน้าด้านไม่ยอมสึกเสียที




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น