บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

มองไม่เห็น แต่มีจริง




ผมได้กล่าวไปในส่วนของก่อนหน้านี้ว่า ความจริงของวิทยาศาสตร์ในยุคของนิวตันนั้น  ต้องมีลักษณะอย่างน้อย 3 ประการ  วันนี้เรามาพูดถึงเรื่อง ความจริงต้องสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 กัน

ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ก็คือ หู ตา ลิ้น จมูก กาย รวมถึงอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือทั้งหลายด้วย ไม่ว่าจะเป็นกล้องโทรทรรศน์ หรือห้องทดลองขององค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (European Organization for Nuclear Research; CERN) ก็ตาม

อย่างไรก็ดี  ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายเข้า  วิทยาศาสตร์ในยุคนิวตัน สิ่งที่จริงต้องเห็นได้  สิ่งไหนเห็นไม่ได้ สิ่งนั้นไม่มีจริง

ผี, นรก สวรรค์, ฯลฯ ในศาสนาพุทธ จึงเป็น “สิ่งไม่จริง” ไปทั้งหมด เพราะ ไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถจับต้องได้ ไม่สามารถเอามาพิสูจน์ในในทางวิทยาศาสตร์ได้

อย่างไรก็ดี ฟิสิกส์ใหม่ในยุคไอน์สไตน์กลับให้ความรู้ที่แตกต่างกับวิทยาศาสตร์ของนิวตันโดยสิ้นเชิง 

ฟิสิกส์ใหม่บอกว่า มีสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกนี้ ในจักรวาลนี้ โดยที่ไม่สามารถมองเห็นได้ และไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือใดๆ

สิ่งดังกล่าวก็คือ

1) สสารมืด (dark matter)

เรื่องสสารมืดนั้นเกิดจาก การสังเกตการณ์ในระบบสุริยะของนักวิทยาศาสตร์ ที่พบข้อบกพร่องของวิทยาศาสตร์ยุคนิวตัน  เช่น

ซวิกกี้ พบว่า มีแกแลกซี่หนึ่งหมุนเร็วมาก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ตามหลักของนิวตันแล้วแกแลกซี่ต้องแตกตัวออกไม่สามารถรวมตัวกันได้  ถ้ามันยังรวมตัวกันได้ก็แสดงหลักของนิวตันผิดหรือมีมวลที่เรามองไม่เห็นมากกว่าที่เราเห็นอยู่

เวอร่า รูบิน พบว่าแกแลกซี่ทางช้างเผือกของเรา ดาวฤกษ์ขอบนอกแกแลกซี่กับที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางโคจรรอบศูนย์กลางด้วยความเร็วที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกัน ซึ่งถ้าเป็นไปตามหลักนิวตันแกแลกซี่ต้องสลายไปแล้วไม่ใช่ยังคงอยู่ได้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น

โดยสรุป นักวิทยาศาสตร์เห็นว่า จักรวาลของเรามีสสารมืดอยู่  สสารมืดนี้ ไม่สามารถค้นพบด้วยเครื่องมือใดๆ  รู้แต่ว่า “มันหนัก”  สสารมืดนี้ มีประมาณ 95 %

ดังนั้น สิ่งที่เราเห็นได้ ตรวจสอบได้ด้วยเครื่องมือนั้น มีประมาณร้อยละ  5 เท่านั้น

2) หลุมดำ (black hole)

หลุมดำเกิดจากดาวฤกษ์ที่ใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มากกว่า 500 เท่าขึ้นไป เกิดยุบตัวลง จนจักรวาลกลายเป็นหลุมไป  เพราะ แรงโน้มถ่วงสูงขึ้นเรื่อยๆ

แรงโน้มถ่วงของหลุมดำเป็นแรงที่มหาศาลมาก จนกระทั่ง แสงก็ไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ นักวิทยาศาสตร์ถึงเรียกว่า “หลุมดำ”

เมื่อแสงไม่สามารถเล็ดรอดออกมาได้ เราก็ไม่สามารถเห็นหลุมดำได้  จนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลุมดำในจักรวาลแล้วอย่างน้อย 6 แห่ง

จากที่กล่าวมาข้างต้น ความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ในยุคนิวตันที่ว่า “สิ่งที่มีจริงต้องเห็น สิ่งที่ไม่เห็น ไม่มีจริง” ก็ใช้ไม่ได้แล้ว

ขุนศึกทรยศของศาสนาพุทธทั้งหลาย ยังจะเชื่อวิทยาศาสตร์แบบนิวตันต่อไป หรือจะเชื่อความรู้ของวิทยาศาสตร์ที่ใหม่กว่า ทันสมัยกว่า

เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

สมมุติว่า ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น บุญ กรรม การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง เป็นนางเอกของละครไทย ซึ่งเป็นคนดีที่สุด ไม่มีความเลวมาเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย

นางเอกของเราคนนี้ ประพฤติตัวดีมานาน  แต่อยู่มาวันหนึ่ง นางอิจฉาก็โผล่ขึ้นมา นางอิจฉาตัวนี้ สวยงาม ทันสมัย แต่งกายเริดหรู 

นางอิจฉาป่าวประกาศกับคนทั่วไปว่า นางเอกของเราไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ไม่ทันสมัย โง่ สุดแต่จะสรรหามา

เจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณแม่ พร้อมญาติผู้ใหญ่ของพระเอกก็หันไปเชื่อนางอิจฉากันทั้งหมด  เหลือแต่คนใช้ทั้งหลายที่ยังเชื่อว่า นางเอกของเราเป็นคนดี  แต่ในเมื่อเป็นคนใช้ ใครจะเชื่อกันหนักหนา

อย่างไรก็ดี ต่อมาอีกไม่นาน น้องสาวของนางอิจฉาตัวนี้ ก็โผล่เข้ามา  แล้วก็ชี้แจงให้เห็นว่า พี่สาวของเขานั้น ผิดพลาดอย่างไรบ้าง 

นางอิจฉานั้น ไม่ได้เจตนาโจมตีนางเอก ความรู้ของหล่อนเป็นอย่างนั้นเอง คือ คับแคบ หลงผิดว่าความรู้ของเขาค้นพบความจริงหมดโลก หมดจักรวาลแล้ว  ความรู้อื่นๆ ไม่จริง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เราจงหันกลับมาเชื่อนางเอกของเราเถอะ  ความเชื่อที่ผิดๆ เพราะนางอิจฉานั้นก็ปล่อยไป  ผิดแล้วก็ผิดไป ให้ผิดเป็นครู

ไม่ใช่หลงเชื่อนางอิจฉาตัวนี้ไปจนตาย  ถึงตอนนั้น ก็จะรู้ว่านรกมีจริง เพราะ ตกนรกเข้าให้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น