ในบทความ
“โลกหน้ามีจริงหรือ? [2]” ผมวิพากษ์วิจารณ์ข้อเขียนของพระศรีรัชมงคลบัณฑิต
เรื่อง “โลกหน้ามีจริงหรือ” ไปแล้วส่วนหนึ่ง
บทความนี้
จะวิพากษ์วิจารณ์ส่วนที่เหลือ
และยังมีพระบาลีพุทธพจน์อยู่อีกจำนวนมากมีข้อความปรากฏอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎกว่า
กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ
แปลว่า คนที่ทำกรรมดี มีความเห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
|
ขอให้ท่านผู้อ่านสังเกตและพิจารณาข้อความนี้ให้ชัดๆ
และเข้าใจให้แจ่มแจ้ง
ผมจะเปิดเผยตัวตนของพระปริยัติให้เห็นกันจะๆะ
ถ้าอ่านกันตามปรกติ
ไม่คิดอะไรมาก ข้อความของพระไตรปิฎกดังกล่าวนั้น
ยืนยันได้เลยว่า สวรรค์มี
ในเมื่อสวรรค์มี
ก็แสดงว่า โลกหน้ามี
ไม่เห็นจะต้องไปตีความให้ยอกย้อน ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ซ่อนปมไปทำไม
กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ คนที่ทำกรรมชั่วมีความเห็นผิดเบื้องหน้าตายเพราะกายแตกย่อมจะเข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก
บูรพาจารย์ที่แปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย ก็ไม่ระบุเรื่องโลกหน้าชาติหน้ากันตรงๆ
แต่จะพูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสาร
แล้วแต่แรงกรรมดีกรรมชั่วที่คอยผลักดันให้เป็นไป
|
อ้าว...
มาถึงตอนนี้ พระศรีรัชมงคลบัณฑิตไปไม่เป็น ไม่เป็นมวยเสียแล้ว
ข้อความนี้
“บูรพาจารย์ที่แปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย ก็ไม่ระบุเรื่องโลกหน้าชาติหน้ากันตรงๆ”
|
ผมสงสัยจริงๆ
ว่า
ภาพวาดเรื่องนรกสวรรค์ตามฝาผนังวัด
นวนิยาย นิยายนิทานที่กล่าวถึงเรื่องนรกสวรรค์ ที่เป็นวิชาการก็คือ “ไตรภูมิพระร่วง”
หลักฐานที่ผมเสนอไปนั้น
พระศรีรัชมงคลบัณฑิตยังจะกล่าวว่า บูรพาจารย์ที่แปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย “ไม่ระบุ” เรื่องโลกนี้ โลกหน้าเลยหรือ.........
จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักการเกิดตายในหมู่สัตว์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จะยกเว้นไว้ก็แต่ท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
การเกิดตายไปในอนาคตข้างหน้าของสรรพสัตว์จะเรียกกันว่า โลกหน้าหรือชาติหน้า
ก็แล้วแต่จะบัญญัติคำเรียก
|
เห็นข้อความที่ว่า
“จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า” ของ พระศรีรัชมงคลบัณฑิตแล้ว หมดศรัทธาจะตักบาตรพระจริงๆ
พระไตรปิฎกของเถรวาทไทยนั้น
มีเรื่องนรกสวรรค์ปรากฏอยู่ทั่วไป
ไตรภูมิพระร่วงก็นำหลักฐานจำนวนมากมาจากพระไตรปิฎก
เรื่องนรกสวรรค์ในพระไตรปิฎกนั้น
ชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจนเสียอีกว่า นรก สวรรค์ รูปพรหม อรูปพรมห มีจริงๆ ไม่ใช่เป็นแค่ “จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า”
เรื่องความไม่เชื่อต่อชาติหน้านี้ มิใช่มีแต่เพียงปัจจุบัน
แม้ในสมัยที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ยังมีความไม่เชื่อต่อชาติหน้าเช่นกัน
จะขอยกมาเป็นตัวอย่างสักคนหนึ่ง
คนที่ไม่เชื่อต่อเรื่องชาติหน้าที่กล่าวถึงนี้ ก็คือเจ้านครชื่อปายาสิที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกปายาสิราชัญญสูตร
ความว่า ………………
|
เนื้อส่วนส่วนนี้
พระเจ้าปายาสิถามพระรูปหนึ่งว่า ญาติตายไปแล้ว ไปสวรรค์ ไปนรก
ไม่เห็นกลับมาบอกบ้างเลย พระก็ตอบไป
อยากรู้รายละเอียดก็ไปหาอ่านเอา
ตรงนี้
ขอให้ผู้อ่านไปคิดเอาเองว่า
เนื้อหาในพระไตรปิฎกมีตั้งมากมายที่สามารถยกมาเป็นตัวอย่างได้
ทำไมพระศรีรัชมงคลบัณฑิตจึงไม่เอามาเป็นตัวอย่าง
กลับไปยกตัวอย่างของคนที่ไม่เชื่อว่า นรก-สวรรค์มีจริงมาเป็นตัวอย่าง
การยกตัวอย่างแบบนี้
ก็แสดงให้เห็นว่า พระศรีรัชมงคลบัณฑิตไม่เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง
พระศรีรัชมงคลบัณฑิตเขียนตอนจบของบทความของท่านไว้ดังนี้
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทิฐิหรือความเห็นที่ผิดๆ แบบของเจ้าปายาสินี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
ก่อนหน้านั้นก็น่าจะมีอยู่ เพราะคนมักจะมีเงื่อนไขไปคนละอย่าง
มีคนอยู่บางกลุ่มมักจะเชื่อเฉพาะเรื่องที่มองเห็นได้ด้วยตาหรือเรื่องที่ตนประสบมาเท่านั้น
แต่ในคนเช่นนั้นก็ยังไม่แน่เสมอไปว่า จะเชื่อเฉพาะเรื่องอย่างนั้นจริงหรือเปล่า หรือบางทีก็มีความลำเอียงเฉพาะเรื่องเฉพาะบุคคล
ข้อสำคัญก็คือ ความคิดความเห็นต่างๆ อย่าให้เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนของตนในโลกอื่น
แม้จะไม่เชื่อเรื่องโลกอื่นหรือโลกหน้า
|
เมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว
ท่านผู้อ่านที่เลือกเข้ามาอ่านบทความนี้ ด้วยเหตุผลส่วนตัวของท่าน
ท่านคงจะเชื่อตามผู้เขียนไปว่า “นรก-สวรรค์”
ไม่มี
จากประสบการณ์การปฏิบัติธรรมตามสายวิชาธรรมกาย ผมพบเห็นมามากว่า
พวกที่ชอบเขียนเผยแพร่ธรรมะอย่างนี้
ไปอบายภูมิกันมาก มากเสียจนไม่สงสารใครเลย
พระศรีรัชมงคลบัณฑิต
ท่านจะต้องรู้ได้แน่ๆ ว่า “โลกหน้ามีจริงหรือไม่”
เมื่อท่านไปอยู่โลกหน้าแล้ว
โลกหน้าของท่านจะเป็นอย่างไร ผู้ค่อนข้างจะรู้แล้วในตอนนี้ แต่ท่านเอง
คงจะมืดบอดทางปัญญาไปก่อน
จนกว่าจะไปถึง............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น